ในการทำธุรกิจนั้น การจดทะเบียนนิติบุคคล ไม่ว่าจะเป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นเพียงแค่จุดเริ่มเต้นเล็ก ๆ เท่านั้น และหลังจากที่ได้รับหนังสือรับรองจากจดทะเบียนแล้ว ยังมีอีกหลายขั้นตอนที่ต้องดำเนินการต่อ หากละเลยขั้นตอนที่จำเป็น ก็อาจจะนำไปสู่ปัญหาทางภาษีได้ค่ะ
ในบทความนี้ ชอบการบัญชี จะพาไปดูว่าหลังจากที่จดทะเบียนนิติบุคคลแล้ว จะต้องทำอะไรต่อบ้าง เพื่อให้กิจการดำเนินงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพค่ะ
1. จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
หลังจากที่จดทะเบียนนิติบุคคลแล้ว กิจการจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- กิจการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือการให้บริการมากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ยื่นคำขอจด VAT (แบบภ.พ.01) ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
- สำหรับกิจการที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ สามารถทำการจดทะเบียน VAT ได้ เพื่อประโยชน์ในการเครดิตภาษีซื้อ
- หลังจากที่จด VAT แล้ว จะต้องยื่นภ.พ.30 ทุกเดือน ไม่ว่าจะมีรายได้หรือไม่ก็ตาม
สำหรับวิธีการจด VAT สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากบทความเรื่องจด VAT ไม่ยากอย่างที่คิด! แนะนำวิธีจด VAT ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง
2. เปิดบัญชีธนาคารในนามบริษัท หรือห้างหุ้นส่วน
การเปิดบัญชีธนาคารในชื่อของนิติบุคคล ส่งผลดีต่อกิจการ ดังนี้
- เป็นการแยกเงินส่วนตัวออกจากเงินของกิจการอย่างชัดเจน
- ง่ายต่อการตรวจสอบ และทำบัญชี
- สร้างความน่าเชื่อถือต่อลูกค้า หรือสถาบันการเงิน
- สามารถขอสินเชื่อในนามของกิจการได้
3. จัดทำตราประทับ
แม้ว่ากฎหมายจะไม่ได้บังคับให้กิจการต้องมีตราประทับ แต่ตราประทับก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการลงนามในการทำธุรกรรมหลายประเภท
ความสำคัญของตราประทับ
- ใช้ประทับในเอกสารสำคัญของกิจการ เช่น สัญญา เช็ค หรือหนังสือมอบอำนาจ เป็นต้น
- สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเอกสารของกิจการ
- หลายหน่วยงานราชการและธนาคาร ยังมีการกำหนกให้มีตราประทับในเอกสาร
การออกแบบตราประทับ
- ควรมีชื่อเต็มของกิจการตามที่จดทะเบียน
- สามารถเพิ่มโลโก้หรือสัญลักษณ์ของกิจการได้
- ควรออกแบบให้อ่านง่าย และมีความเป็นทางการ
เพิ่มเติมตรงนี้นิดหนึ่ง ควรจัดเก็บตราประทับไว้ในที่ปลอดภัย และจำกัดการเข้าถึง พร้อมกำหนดให้ผู้มีอำนาจในการใช้ตราประทับ และมีระบบการใช้ตราประทับในเอกสารสำคัญที่ชัดเจนค่ะ
4. จัดหานักบัญชี และยื่นแบบภาษีประจำเดือน
ทุกบริษัทและห้างหุ้นส่วนจำกัด ต้องจัดทำบัญชีและยื่นงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมสรรพากรทุกปี
คำแนะนำในการจัดหานักบัญชี
- เลือกสำนักงานบัญชี หรือนักบัญชีที่มีประสบการณ์ และได้รับการรับรองจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
- พิจารณาขนาดของธุรกิจกับความเหมาะสมของค่าบริการ
- ตรวจสอบการให้บริการว่าครอบคลุมการบันทึกบัญชี การยื่นภาษี และการจัดทำงบการเงินหรือไม่
- มีทีมงานที่สามารถให้คำปรึกษา
การยื่นภาษีประจำเดือน
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย จากเงินเดือนพนักงาน (แบบภ.ง.ด.1) ยื่นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย จากค่าบริการหรือค่าเช่า (แบบภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53) ยื่นภายในวันที่ 7 และยื่นออนไลน์ได้ถึงวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบภ.พ.30) ยื่นในวันที่ 15 และยื่นออนไลน์ได้ถึงวันที่ 23 ของเดือนถัดไป
- ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าสินค้า (แบบภ.พ.36) ยื่นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
- รายงานภาษีมูลค่าเพิ่ม (รายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย รายงานสินค้า และวัตถุดิบ) ต้องทำให้เป็นปัจจุบัน
5. ยื่นเงินสมทบประกันสังคม (กรณีมีลูกจ้าง)
เมื่อกิจการมีการจ้างงาน หรือมีพนักงานตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องขึ้นทะเบียนเป็นนายจ้าง และยื่นเงินสมทบประกันสังคม
การขึ้นทะเบียนนายจ้าง
- ต้องขึ้นทะเบียนนายจ้าง ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่มีลูกจ้างคนแรก
- ยื่นแบบขึ้นทะเบียนนายจ้าง (แบบ สปส.1-01) ต่อสำนักงานประกันสังคม พร้อมเอกสารประกอบ
- ขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทน
การนำส่งเงินสมทบประกันสังคม
- ต้องนำส่งเงินสมทบ ทั้งในส่วนของนายจ้างและลูกจ้าง (ฝ่ายละ 5% ของค่าจ้าง แต่ไม่เกิน 750 บาทต่อเดือน)
- ยื่นแบบนำส่งเงินสมทบ (แบบ สปส.1-10) พร้อมชำระเงินภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
- นายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนตามอัตราความเสี่ยงของประเภทกิจการ (0.2% – 1% ของค่าจ้างรวมตลอดทั้งปี)
- ยื่นแบบนำส่งเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนประจำปี ภายในเดือนมกราคมของทุกปี
- กรณีเปลี่ยนแปลงจำนวนลูกจ้างหรือค่าจ้าง
ในส่วนของการนำส่งเงินสมทบประกันสังคม สามารถนำส่งผ่านระบบออนไลน์หรือช่องทางอื่น ตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนดค่ะ
6. จัดทำบัญชี และปิดงบการเงินประจำปี
กิจการที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ต้องมีหน้าที่จัดทำบัญชี และปิดงบการเงินตามมาตรฐานการบัญชีทั่วไป
การจัดทำบัญชี
- ต้องจัดทำบัญชีตามมาตรฐานการบัญชีและพระราชบัญญัติการบัญชี 2543
- จัดให้มีการบันทึกรายงานบัญชีภายใน 3 วันนับตั้งแต่มีรายการเกิดขึ้น
- เก็บรักษาเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี
- มีการลงรายการในสมุดบัญชีเป็นภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ (มีภาษาไทยกำกับ)
การปิดงบการเงิน ประจำปี
- รอบระยะเวลาบัญชีโดยทั่วไปคือ 12 เดือน ส่วนใหญ่จะถือเป็นรอบปีปฏิทิน (1 มกราคม – 31 ธันวาคม)
- ต้องจัดทำงบการเงิน ประกอบไปด้วย งบฐานะการเงิน งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด และหมายเหตุประกอบงบการเงิน
- ต้องผ่านการตรวจสอบและรับรองโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
- นำส่งงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติ (ไม่เกิน 5 เดือนนับจากวันปิดรอบบัญชี)
- ยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี (ภ.ง.ด.50) ภายใน 150 วันนับจากวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี
7. ขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง
ธุรกิจบางประเภท จำเป็นต้องขอใบอนุญาตเพิ่มเติมก่อนดำเนินกิจการ
ประเภทของใบอนุญาต
- ใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (กรณีมีผู้ถือหุ้นต่างชาติเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด)
- ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน
- ใบอนุญาตขายอาหารหรือเครื่องดื่ม
- ใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม
- ใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
- ใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร
- ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเฉพาะ เช่น แพทย์ วิศวกร หรือสถาปนิก เป็นต้น
อย่าลืมตรวจสอบว่ากิจการต้องขอใบอนุญาตเพิ่มเติมหรือไม่ ก่อนที่จะดำเนินกิจการด้วยนะคะ
สรุป
หลังจากที่ทำการจดทะเบียนบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนแล้ว จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนทางภาษี การเงิน และกฎหมายให้ครบถ้วน เพื่อให้กิจการดำเนินการได้อย่างถูกต้อง
เช็กลิสต์สิ่งที่ต้องทำหลังจากจดบริษัท
- ขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีและจด VAT (ถ้าจำเป็น)
- เปิดบัญชีธนาคารในนามบริษัท
- จัดทำตราประทับบริษัท
- จ้างนักบัญชีและยื่นภาษีประจำเดือน
- ยื่นเงินสมทบประกันสังคม (กรณีมีพนักงาน)
- จัดทำบัญชีและยื่นงบการเงินประจำปี
- ขอใบอนุญาตเพิ่มเติม (ถ้าจำเป็น)
หากต้องการที่ปรึกษาเรื่องการทำบัญชี และภาษี รวมถึงการจดทะเบียนนิติบุคคล สามารถติดต่อเข้ามาที่ชอบการบัญชีได้เลยนะคะ ยินดีให้บริการค่ะ