ใบ 50 ทวิ ถือเป็นหนึ่งในเอกสารที่หลายคนต้องเคยเจอ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ ฟรีแลนซ์ หรือผู้รับจ้างทั่วไป เพราะเป็นหลักฐานทางภาษีที่มีความสำคัญโดยตรงต่อการยื่นภาษีเงินได้ หากเข้าใจว่าเอกสารนี้คืออะไร ออกเมื่อไหร่ และใช้งานอย่างไร ก็จะช่วยให้การจัดการเรื่องภาษีง่ายขึ้น และลดความเสี่ยงในการเสียภาษีมากเกินไป หรือเสียภาษีไม่ครบได้อีกด้วย
ใบ 50 ทวิ คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ?
ใบ 50 ทวิ คือ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ที่ผู้ว่าจ้างหรือนายจ้างออกให้กับผู้ถูกหักภาษี เช่น พนักงานประจำ ฟรีแลนซ์ หรือผู้รับจ้างอิสระ โดยระบุว่าในรอบปีภาษีที่ผ่านมามีการหักภาษีจากรายได้ไปเท่าไร และนำส่งให้กรมสรรพากรแล้ว
ใบ 50 ทวิ เป็นหลักฐานยืนยันว่า ผู้ว่าจ้างได้หักภาษีและนำส่งต่อกรมสรรพากรแทนผู้ถูกหักภาษีเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังใช้เป็นเอกสารประกอบในการยื่นภาษีสิ้นปี เพื่อช่วยให้ผู้เสียภาษีคำนวณภาษีได้อย่างถูกต้องว่าต้องชำระภาษีเพิ่มหรือมีสิทธิ์ขอคืนภาษี และยังถือเป็นเอกสารที่กรมสรรพากรใช้ตรวจสอบความถูกต้องของรายได้รวมถึงภาษีที่ถูกหักไว้อีกด้วย
เราจะได้รับใบ 50 ทวิ ตอนไหน ?
ตามมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายรัษฎากร กำหนดว่า ผู้ที่มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ต้องออกใบ 50 ทวิ ให้กับผู้ถูกหักภาษี 2 ฉบับ ดังนี้
- ฉบับที่ 1 ต้องระบุข้อความว่า “สำหรับผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายใช้แนบพร้อมกับแบบแสดงรายการภาษี”
- ฉบับที่ 2 ต้องระบุข้อความว่า “สำหรับผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเก็บ ไว้เป็นหลักฐาน”
โดยแบ่งช่วงเวลาในการออกใบ 50 ทวิ ออกเป็นเป็น 3 กรณี ดังนี้
1. ออกทุกครั้งที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย
เมื่อมีการหักภาษีจากการจ่ายเงิน ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าธรรมเนียม ค่าบริการ ค่าลิขสิทธิ์ รางวัล เงินสนับสนุน หรือรายได้อื่น ๆ ที่เข้าข่ายตามกฎหมาย ผู้จ่ายเงินต้องออกใบ 50 ทวิ ให้ทุกครั้งที่มีการหักภาษี
2. ออกให้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ของปีถัดไป
ในกรณีที่มีการหักภาษีหลายครั้งตลอดทั้งปี ผู้จ่ายเงินสามารถออกใบ 50 ทวิ แบบสรุปรายการรวมได้ โดยต้องส่งมอบให้กับผู้ถูกหักภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนกุมภาพันธ์ของปีถัดจากปีภาษี เพื่อให้ทันกำหนดยื่นภาษีเงินได้ประจำปี
3. ออกเมื่อมีการจ่ายเงินได้บางประเภทตามกฎหมาย
เช่น เงินปันผล กำไรจากการถือหุ้น เงินชดเชย สิทธิประโยชน์จากการโอนทรัพย์สิน หรือรายได้อื่น ๆ ตามมาตรา 50(2), (3), (4) เป็นต้น ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องออกใบ 50 ทวิ ให้แก่ผู้รับเงินทุกครั้งที่มีการจ่าย
สิ่งที่ต้องระบุในใบ 50 ทวิ
- ชื่อ–นามสกุล และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของทั้งผู้จ่ายเงินและผู้รับเงิน (หากผู้รับเงินคือบุคคลธรรมดา ให้ใช้เลขประจําตัวประชาชน)
- ประเภทเงินได้ที่ถูกหักภาษี เช่น เงินได้ตามมาตรา 40(1) หรือ 40(2) เป็นต้น
- จำนวนเงินที่ได้รับจริงว่าตรงกับที่ทำงานหรือลูกค้าจ่ายให้หรือไม่
- จำนวนภาษีที่ถูกหัก และนำส่งสรรพากรถูกต้องหรือไม่
- วันที่ เดือน และปี ที่ออกเอกสาร
- ลายมือชื่อของผู้มีอำนาจลงนาม พร้อมตราประทับบริษัท (ถ้ามี)

ดาวน์โหลดไฟล์ ใบ 50 ทวิ จากกรมสรรพากร ได้ที่นี่
ใบ 50 ทวิ ใช้ทำอะไรบ้าง ?
นอกจากจะเป็นหลักฐานยืนยันว่าผู้ว่าจ้างได้หักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว ใบ 50 ทวิ ยังถือเป็นเอกสารสำคัญที่ผู้มีรายได้สามารถนำไปใช้วางแผนภาษีและจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการนำไปใช้หลัก ๆ มีดังนี้
1. ใช้ประกอบการวางแผนภาษี
ใบ 50 ทวิ สามารถใช้เป็นข้อมูลในการคำนวณภาษี ว่าจะต้องชำระเพิ่มหรือนำไปขอคืนภาษีได้ พร้อมทั้งช่วยให้เห็นภาพรวมรายได้ชัดเจน และวางแผนจัดสรรค่าใช้จ่ายได้เหมาะสมมากขึ้น
2. ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีผ่านการลงทุน
ใบ 50 ทวิ ช่วยให้สามารถนำรายได้ไปวางแผนลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี เช่น
- การลงทุนกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุน Thai ESG
- เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)
- เบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ที่สามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
3. ใช้เปรียบเทียบและตรวจสอบการเสียภาษี
ใบ 50 ทวิ ยังเป็นหลักฐานที่ช่วยยืนยันจำนวนภาษีที่ถูกหักและนำส่งกรมสรรพากรจริง หากมีความคลาดเคลื่อน เช่น ถูกหักภาษีมากเกินไป ก็สามารถใช้เป็นหลักฐานในการยื่นขอคืนภาษีได้
หากทำใบ 50 ทวิ หาย ต้องทำยังไง ?
- หากเคยได้รับใบ 50 ทวิ แล้วแต่ทำหาย สามารถติดต่อผู้จ่ายเงิน เช่น นายจ้าง ฝ่ายบุคคล หรือแผนกบัญชี เพื่อขอออกใบ 50 ทวิ ใหม่ได้
- ในกรณีใบ 50 ทวิ ชำรุดหรือสูญหาย ผู้จ่ายเงินสามารถออกเอกสารสำเนาแทนได้ โดยจะมีการระบุคำว่า “ใบแทน” บนเอกสาร พร้อมลายเซ็นรับรองจากผู้มีอำนาจ ซึ่งสามารถใช้ยื่นภาษีได้เช่นเดียวกับต้นฉบับ
ใบ 50 ทวิ ถือเป็นเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการยื่นภาษีของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำหรือฟรีแลนซ์ เพราะเป็นหลักฐานยืนยันว่ามีการหักและนำส่งภาษีเรียบร้อยแล้ว การเก็บรักษาเอกสารนี้ให้ดี และตรวจสอบความถูกต้องก่อนยื่นภาษี จะช่วยให้วางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลังค่ะ
อ้างอิง :