เคยสงสัยไหมว่าทำไมราคาสินค้าบางอย่างถึงสูงกว่าปกติ เช่น บุหรี่ เหล้า น้ำอัดลม หรือรถยนต์บางประเภท หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้สินค้าดังกล่าวมีราคาที่สูงกว่าปกติ นั่นก็คือ ภาษีสรรพสามิต ที่ซ่อนอยู่ในราคาสินค้าเหล่านั้น
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือแม้แต่ผู้ประกอบการ ที่ยังไม่รู้ว่าจะต้องเสียภาษีนี้ ทำให้ไม่ได้คำนวณภาษีสรรพสามิตไว้ในต้นทุนสินค้าดังกล่าว หรือไม่รู้มาก่อนว่าสินค้าดังกล่าวต้องเสียภาษีสรรพสามิต เป็นเหตุให้ต้องเสียค่าปรับ และเสียเวลาในการจัดการภาษีกับทางกรมศุลการกรค่ะ
ในบทความนี้ ชอบการบัญชี จะพาไปทำความรู้จักกับภาษีสรรพามิต ใครมีหน้าที่ต้องจ่าย และต้องจ่ายยังไง พร้อมแนะนำวิธีคำนวณง่าย ๆ ค่ะ
ภาษีสรรพสามิต คืออะไร ?
ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีทางอ้อมที่รัฐบาลจัดเก็บจากสินค้าและบริการบางประเภทที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น สินค้าที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อม สินค้าฟุ่มเฟือย หรือสินค้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษจากรัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการบริโภคและเพิ่มรายได้ให้กับรัฐ
กรมสรรพสามิต มีหน้าที่หลักในการจัดเก็บภาษีจากสินค้า และบริการบางประเภทที่กำหนดใว้เป็นพิเศษ โดยจัดเก็บจากผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าสินค้า ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560
สินค้าและบริการ ที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต
พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ได้กำหนดรูปแบบสินค้าและบริการที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต เอาไว้ดังนี้
- น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน
- เครื่องดื่ม
- เครื่องใช้ไฟฟ้า (เฉพาะโคมไฟฟ้าและโคมระย้า สำหรับติดเพดาน หรือผนัง แต่ไม่รวมถึงที่ใช้สำหรับให้แสงสว่างกลางแจ้ง และอื่น ๆ ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
- แบตเตอรี่
- แก้วและเครื่องแก้ว แก้วเลดคริสตัล และแก้วคริสตัลอื่น ๆ
- รถยนต์ (รถยนต์นั่ง รถยนต์กระบะ รถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน
- รถจักรยานยนต์
- เรือ เรือยอร์ช และยานพาหนะทางน้ำ ที่ใช้เพื่อความสำราญ และอื่น ๆ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
- ผลิตภัณฑ์เครื่องหอม และเครื่องสำอาง เช่น น้ำหอม หัวน้ำหอม และน้ำมันหอม
- พรม และสิ่งทอปูพื้นอื่น ๆ
- หินอ่อน และหินแกรนิต (ปัจจุบันยกเว้นภาษี)
- สารทำลายชั้นบรรยากาศ
- สุรา
- ยาสูบ
- ไพ่
- สินค้าอื่น ๆ นอกจาก 1-15 ตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
- กิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ (ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ บาร์ สถานอาบน้ำหรืออบตัวและนวด)
- กิจการเสี่ยงโชค (สนามแข่ง)
- กิจการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (เช่น สนามกอล์ฟ อื่น ๆ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง)
- กิจการที่ได้รับอนุญาตหรือสัมปทานจากรัฐ (เช่น กิจการโทรคมนาคม อื่น ๆ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง)
- บริการอื่น ๆ (บริการอื่น ๆ นอกจากข้อ 17-20 ตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา)
ผู้หน้าที่เสียภาษีสรรพสามิต
ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิต ได้แก่
- ผู้ผลิต หรือผู้ประกอบอุตสาหกรรมในประเทศ
- ผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
- ผู้ประกอบกิจการสถานบริการที่อยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษี
- บุคคลอื่นที่กฎหมายกำหนดให้เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษี
การจัดเก็บภาษีสรรพสามิต
ภาษีสรรพสามิต มีการจัดเก็บตามหลักการ หรือที่เรียกกันว่า “จุดความรับผิดในการเสียภาษี” ซึ่งมีความแตกต่างกันตามรูปแบบของสินค้าหรือบริการ ดังนี้
1. สินค้าที่ผลิตในประเทศ
การจัดเก็บภาษีสรรพสามิต สำหรับสินค้าที่ผลิตในประเทศ แบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
- หากสินค้าอยู่ภายในเขตโรงงานอุตสาหกรรม จะถือว่าเริ่มต้นความรับผิดชอบในการเสียภาษี เมื่อมีการนำสินค้าออกจากโรงงานโดยผู้ประกอบการ
- หากสินค้าถูกเก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บน หรือพื้นที่ควบคุมตามที่กฎหมายว่าด้วยศุลกากรกำหนด เช่น เขตปลอดอากร หรือเขตประกอบการเสรี การเสียภาษีจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการนำสินค้าออกจากพื้นที่ดังกล่าว สู่ภายนอกเขตพิเศษนั้น ซึ่งต้องดำเนินการตามที่ระบุไวในพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560
2. สินค้านำเข้า
การเสียภาษีสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ต้องชำระภาษีศุลกากรตามกฎหมาย กล่าวคือ ความรับผิดในการเสียภาษีสรรพากรจะเริ่มต้นทันทีเมื่อมีการนำสินค้าตามที่กฎหมายศุลกากรกำหนดไว้
3. บริการ
ผู้ให้บริการจะมีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิตเมื่อมีการรับชำระค่าบริการ โดยถือว่าเกิดความรับผิดในการเสียภาษีในทันทีที่ได้รับเงินค่าบริการนั้น ไม่ว่าจะเป็นแบบเต็มจำนวนหรือบางส่วนก็ตาม และหากบริการนั้น อยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย ก็จะถือว่ามีความรับผิดเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งภาษีสรรพสามิต และภาษีมูลค่าเพิ่ม
การคำนวณภาษีสรรพสามิต
การคำนวณภาษีสรรพสามิต จะพิจารณาจากฐานภาษี ซึ่งอาจเป็นไปตามปริมาณ หรือมูลค่าของสินค้า หรือบางกรณีอาจต้องใช้ทั้งสองเกณฑ์ร่วมกัน ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าและลักษณะเฉพาะของสินค้านั้น ๆ
1. กรณีใช้ฐานตามปริมาณ
ภาษีสรรพสามิต = ปริมาณสินค้า x อัตราภาษีสรรพสามิต
ตัวอย่าง
ขายบุหรี่ที่ราคาขายไม่เกิน 72 บาทต่อซอง
อัตราภาษี = 25%
ขายบุหรี่จำนวน 50 ซอง = 50 x 72 = 3,600 บาท
ภาษีที่ต้องเสียคือ 3,600 x 25% = 900 บาท
2. กรณีใช้ฐานตามมูลค่า
แบ่งออกเป็น 4 กรณี ดังนี้
1. กรณีสินค้าที่ผลิตในประเทศ
ใช้มูลค่าขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรมเป็นฐานในการคำนวณ
ฐานภาษี = ราคาขายจากโรงงาน
ตัวอย่าง
ขายรถเก๋ง/รถยนต์เอนกประสงค์ เครื่องยนต์น้อยกว่า 1,500 CC
อัตราภาษี = 30%
ราคาขายจากโรงงาน = 2,000,000 บาท
ภาษีที่ต้องเสียคือ 2,000,000 x 30% = 600,000 บาท
2. สินค้านำเข้า
ใช้ราคาที่เป็นมูลค่า C.I.F. (ราคา + ค่าขนส่ง + ค่าประกันภัย) ณ ด่านศุลกากร
ฐานภาษี = ราคา C.I.F. ของสินค้า + อากรขาเข้า
ตัวอย่าง
นำเข้าไวน์ที่ทำจากองุ่นจากต่างประเทศ สำหรับราคาขายปลีกแนะนำเกิน 1,000 บาท
อัตราภาษี = 5%
ราคา C.I.F. ของสินค้า = 1,000 บาท
อากรนำเข้า = 100 บาท
ฐานภาษี = 1,000 + 100 = 1,100 บาท
ภาษีที่ต้องเสียคือ 1,100 บาท x 5% = 55 บาท
3. กรณีเป็นบริการที่ต้องเสียภาษี
ใช้รายรับจากสถานบริการเป็นฐานในการคำนวณ เช่น ค่าบริการจากผับ บาร์ คาราโอเกะ ฯลฯ
ฐานภาษี = รายได้จากค่าบริการ
ตัวอย่าง
รายได้จากสถานบริการคาราโอเกะ 100,000 บาท
อัตราภาษี = 10%
ภาษีที่ต้องเสียคือ = 100,000 x 10% = 10,000 บาท
4. สินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าเฉพาะกลุ่ม
หากไม่สามารถระบุราคาตามปกติได้ หรือราคาตลาดผันผวน อาจใช้ราคาขายปลีกแนะนำ หรือราคากลางตามที่กรมสรรพสามิตกำหนด
ฐานภาษี = ราคาที่กรมสรรพสามิตกำหนดเป็นพิเศษ
ตัวอย่าง
ขายน้ำหอมแบรนด์เนม ในราคาปลีกแนะนำ 3,500 บาท
อัตราภาษี = 8%
ภาษีที่ต้องเสีย = 3,500 x 8% = 280 บาท
สำหรับอัตราภาษีสรรพสามิตของสินค้าและบริการแต่ละประเภท สามารถตรวจสอบเพิ่มเติมโดยตรงจากเว็บไซต์กรมสรรพสามิตได้ที่ lawelcs.excise.go.th/lawdetail?id=5750
ยื่นภาษีสรรพสามิตได้ที่ไหน
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิต สามารถยื่นแบบแสดรงรายการภาษี และชำระภาษีได้ที่
- ยื่นที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตในพื้นที่
- ยื่นออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพสามิตได้ที่ edweb.excise.go.th/eform/e-bussiness.html
- ยื่นผ่านแอปพลิเคชั่น Excise Smart Service
สำหรับผู้ประกอบการที่ยังไม่แน่ใจว่าสินค้าหรือบริการของท่านต้องเสียภาษีสรรพสามิตหรือไม่ หรือต้องการรู้วิธีวางแผนการเงินให้ครอบคลุมภาษีเหล่านี้ สามารถติดต่อเข้าไปสอบถามข้อมูลจากเว็บไซต์กรมสรรพสามิตได้ที่ excise.go.th เบอร์โทรติดต่อ 02-241-5600-19