ในการจัดทำบัญชีเพื่อใช้ยื่นภาษีประจำปี หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่ารายจ่ายต้องห้ามคืออะไร และมีผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร เพราะถึงแม้รายจ่ายเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงและมีการบันทึกไว้ในระบบบัญชีอย่างถูกต้อง แต่กฎหมายภาษีกลับไม่อนุญาตให้นำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ ในบทความนี้ ชอบการบัญชี จะพาไปทำความเข้าใจว่ารายจ่ายต้องห้าม คืออะไร และเกี่ยวข้องกับการยื่นภาษีอย่างไรบ้างค่ะ
รายจ่ายต้องห้าม คืออะไร ?
รายจ่ายต้องห้าม หรือ ค่าใช้จ่ายต้องห้าม (Expenses not deductible) คือ รายจ่ายที่เกิดจากการดำเนินกิจการของนิติบุคคลที่สามารถบันทึกลงในระบบบัญชีได้ตามปกติ แต่ไม่สามารถนำมาเป็นรายจ่ายสำหรับการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีได้
ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ รายจ่ายต้องห้าม คือ ค่าใช้จ่ายที่บักทึกบัญชีได้ แต่ไม่สามารถนำมาหักภาษีได้นั่นเอง
แม้รายจ่ายเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริง และอาจเป็นต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน แต่หากเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด ก็ไม่สามารถนำมาหักภาษีสำหรับการยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ได้
กำไรสุทธิทางบัญชี กำไรสุทธิทางภาษี คืออะไร ?
รายจ่ายต้องห้าม มีกี่ประเภท ?
รายจ่ายต้องห้าม ตามที่ระบุไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี มีอยู่หลายประเภท แต่ที่พบเห็นได้ทั่วไป มีอยู่ดังนี้
1. รายจ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ
รายจ่ายประเภทนี้ คือค่าใช้จ่ายที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างรายได้หรือการดำเนินธุรกิจของบริษัท เช่น เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของกรรมการ ผู้ถือหุ้น หรือพนักงาน เป็นต้น ซึ่งกิจการเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้โดยไม่เกี่ยวข้องกับการทำกำไรหรือการให้บริการ ถือว่าเป็นรายจ่ายที่ไม่ได้ใช้เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจโดยตรง และกฎหมายภาษีถือว่าไม่มีสิทธิหักจากกำไรสุทธิได้
2. รายจ่ายที่กฎหมายกำหนดเพดานหรือข้อจำกัด
แม้ว่ารายจ่ายบางรายการจะมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ แต่กฎหมายภาษีอากรกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าสามารถหักได้แค่ในอัตราที่กำหนดเท่านั้น ถ้าใช้เกินจากนั้นจะต้องตัดส่วนที่เกินออก ห้ามนำไปลดหย่อนภาษี เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือใช้รายจ่ายเกินจริงในการลดหย่อนภาษี เช่น
- ค่ารับรอง หักได้ไม่เกิน 0.3% ของรายได้รวม และต้องไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อปี
- ค่าใช้จ่ายเพื่อสวัสดิการพนักงาน หักได้เฉพาะที่มีข้อบังคับชัดเจน เช่น ระบุไว้ในสัญญาจ้างหรือข้อบังคับบริษัท
- ค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินบางประเภท เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่มีมูลค่าเกิน 1 ล้านบาท หักค่าเสื่อมได้เฉพาะจาก 1 ล้านบาทเท่านั้น
3. รายจ่ายที่ไม่มีหลักฐานเอกสารประกอบที่ถูกต้อง
ไม่ว่ารายจ่ายจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือไม่ หากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนและถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ก็ไม่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ ถึงแม้บัญชีจะบันทึกไว้ก็ตาม เช่น ใบเสร็จที่ไม่ระบุชื่อผู้ขาย หรือไม่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ไม่มีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป (ในกรณีที่เป็นรายจ่ายที่มี VAT) หรือเป็นการจ่ายเงินสดโดยไม่มีหลักฐาน เช่น ไม่มีใบเบิกเงิน ใบสำคัญจ่าย ใบรับเงิน เป็นต้น
ใบกำกับภาษี คืออะไร ? ออกแบบไหนถึงจะถูกต้อง
4. รายจ่ายต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนดโดยเฉพาะ
รายจ่ายที่แม้มีเอกสารครบ และอาจเกี่ยวข้องกับกิจการ แต่กฎหมายระบุไว้ชัดว่าห้ามหักเด็ดขาด ไม่ว่ากรณีใด ๆ เพราะถือว่าไม่เหมาะสม หรือไม่สมควรได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี เช่น
- ค่าปรับ ดอกเบี้ย เบี้ยปรับจากการผิดนัดภาษี เช่น ค่าปรับจากการยื่น ภ.ง.ด.50 ล่าช้า
- ค่าสินบน หรือค่าตอบแทนที่ผิดกฎหมาย
- ค่ารับขวัญบุตร/งานบุญ/ของขวัญ ที่ไม่มีนโยบายชัดเจน หรือไม่เกี่ยวกับธุรกิจ
- รายจ่ายจากการให้สินเชื่อแก่บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจ
ตัวอย่างรายจ่ายต้องห้ามที่พบบ่อย
- ซื้อของขวัญให้ลูกค้าแต่ไม่มีใบเสร็จ/ใบกำกับภาษี
- ค่าอาหาร ค่าจัดเลี้ยง ที่ไม่มีระบุชื่อแขก หรือเหตุผลในการรับรอง
- เอกสารค่าใช้จ่ายขาดชื่อบริษัท หรือไม่ใช่ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ
- ค่าอาหารส่วนตัว ค่าเดินทางท่องเที่ยว ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการ
- ค่ารักษาพยาบาลของครอบครัวกรรมการ
- ค่าของขวัญปีใหม่ให้กรรมการหรือพนักงาน โดยไม่มีนโยบายบริษัทรองรับ
- ค่าปรับจากการยื่นภาษีล่าช้า (ภ.ง.ด.50, ภ.พ.30 ฯลฯ)
- ดอกเบี้ยผิดนัดจากการชำระเงินให้เจ้าหนี้ล่าช้า
- ค่าปรับจากการละเมิดกฎหมายแรงงาน, ประกันสังคม หรืออื่น ๆ
- ค่าตอบแทนใต้โต๊ะ ค่าของขวัญให้เจ้าหน้าที่รัฐ
- ค่าอำนวยความสะดวกที่ไม่สามารถออกเอกสารได้
- จ่ายเงินสดแต่ไม่มีใบรับเงินหรือเอกสารประกอบ ไม่มีลายเซ็นผู้รับเงิน ไม่มีใบสำคัญจ่าย และไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสินค้าหรือบริการเกิดขึ้นจริง
- สวัสดิการพนักงานที่ไม่มีระบุในข้อบังคับหรือสัญญาจ้าง เช่น แจกโบนัสตามใจ หรือค่าแต่งงานพนักงานโดยไม่มีหลักเกณฑ์
- ค่าทำบุญบริษัทที่ไม่ชัดเจนว่ามีผลทางธุรกิจ
- ค่าเสื่อมราคารถยนต์หรูเกิน 1 ล้านบาท
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการกุศลหรือบริจาคที่เกินอัตราหักลดหย่อนที่กฎหมายกำหนด
- บริษัทให้เงินกู้แก่พนักงาน ครอบครัว หรือบุคคลภายนอกโดยไม่มีดอกเบี้ย หรือไม่มีเหตุผลทางธุรกิจ
- รายจ่ายจากการกันสำรองหนี้สงสัยจะสูญ โดยไม่มีหลักฐานทวงหนี้ตามขั้นตอนภาษี
- ค่าวางระบบ ค่าที่ปรึกษา หรือค่าใช้จ่ายโครงการใหม่ที่ยังไม่สร้างรายได้
- รายจ่ายก่อนเริ่มดำเนินการธุรกิจที่ไม่มีการเปิดบริษัทอย่างถูกต้อง
รายจ่ายต้องห้าม มีผลต่อการยื่น ภ.ง.ด.50 ยังไง ?
ภ.ง.ด.50 เป็นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี ที่ใช้รายงานรายได้-ค่าใช้จ่าย และคำนวณภาษีที่ต้องจ่าย หากผู้ประกอบการหรือนักบัญชี ไม่ได้แยกรายจ่ายต้องห้ามออกจากรายการค่าใช้จ่ายปกติ จะทำให้กำไรสุทธิที่ใช้คำนวณภาษี ลดลงเกินความเป็นจริง และอาจเข้าข่ายหลีกเลี่ยงภาษีโดยไม่รู้ตัว
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีความเสี่ยงที่จะ
- ถูกกรมสรรพากรประเมินภาษีย้อนหลัง
- ต้องชำระค่าปรับและเงินเพิ่ม ซึ่งอาจสูงถึง 100% – 200% ของภาษีที่คำนวณผิด
- กระทบต่อเครดิตทางธุรกิจ หากถูกเผยแพร่ชื่อในบัญชีดำผู้หลีกเลี่ยงภาษี
- เพิ่มความยุ่งยากในรอบภาษีถัดไป เนื่องจากต้องคอยชี้แจงหรือแก้ไขข้อผิดพลาดเดิม
รายจ่ายต้องห้าม มีผลต่อการยื่น ภ.ง.ด.50 ยังไง ?
- ตรวจสอบหลักฐานก่อนลงบัญชี ทุกค่าใช้จ่ายควรมีใบเสร็จหรือใบกำกับภาษีอย่างถูกต้อง
- แยกรายจ่ายส่วนตัวกับรายจ่ายของกิจการอย่างชัดเจน
- ทำความเข้าใจรายจ่ายต้องห้ามจากกฎหมายภาษีอากร หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
- จัดทำรายการปรับปรุงภาษีทุกปี โดยเฉพาะก่อนยื่นแบบ ภ.ง.ด.50
- ใช้ระบบบัญชีที่ได้มาตรฐาน เพื่อช่วยแยกประเภทค่าใช้จ่ายและป้องกันความผิดพลาด
โดยสรุปแล้ว รายจ่ายต้องห้าม คือหนึ่งในเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจให้มาก ๆ เพราะหากไม่รู้ว่ามีรายจ่ายใดบ้างที่ถือว่าเป็นรายจ่ายต้องห้าม แล้วนำไปคำนวณกำไรสุทธิทางภาษี อาจทำให้การยื่นภาษีไม่ถูกต้อง ทำให้มีปัญหาเรื่องภาษีภายหลัง
การเข้าใจรูปแบบรายจ่ายต้องห้าม รวมถึงการทำรายการปรับปรุงภาษีให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านภาษี และทำให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างมั่นใจและโปร่งใสในระยะยาวค่ะ
หากยังไม่แน่ใจว่ารายจ่ายในกิจการของคุณเข้าข่ายรายจ่ายต้องห้ามหรือไม่ และอยากให้มีทีมงานมืออาชีพช่วยตรวจสอบและวางแผนภาษีให้ถูกต้อง ชอบการบัญชี ยินดีให้บริการค่ะ
อ้างอิง