สำหรับพ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ ที่ขายของผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นใน Facebook , Tiktok , Shopee , Lazada หรือช่องทางอื่น ๆ อาจมีความสงสัยว่ารายได้ที่ได้รับจากการขายของนั้น ต้องเสียภาษียังไง หรือจะรู้ได้ยังไงว่าต้องภาษีเมื่อไหร่ ?
ในบทความนี้ ชอบการบัญชี จะอธิบายให้เข้าใจว่ารายได้จากการขายของออนไลน์ ถือว่าเป็นรายได้ประเภทไหน ต้องเสียภาษีอย่างไร พร้อมเคล็ดลับในการจัดการภาษีที่มีประสิทธิภาพค่ะ
รายได้จากการขายของออนไลน์ ถือเป็นรายได้ประเภทใด ?
รายได้จากการขายของออนไลน์ ถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) ของประมวลรัษฎากร ซึ่งครอบคลุมรายได้อื่น ๆ ที่ไม่ได้เข้าข่ายเงินได้ตามมาตรา 40(1) – 40(7) เช่น การค้าขาย ค่าบริการ หรือค่าตอบแทนต่าง ๆ
ฉะนั้นแล้ว การขายของออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง อาหาร หรือของใช้จิปาถะ รายได้เหล่านี้ ถือว่าเป็นรายได้จากการค้าขาย ซึ่งต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาค่ะ
ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง ?
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หากมีรายได้รวมต่อปีมากกว่า 60,000 บาท หรือมากกว่า 120,000 บาท จะต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคมของปีถัดไป
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
หากมีรายได้ต่อปีมากกว่า 1.8 ล้านบาท ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้เรียบร้อย และเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากลูกค้า แล้วนำส่งให้กรมสรรพากรภายในวันที่ี 23 ของเดือนถัดไป ทุกเดือน
จด VAT ไม่ยากอย่างที่คิด! แนะนำวิธีจด VAT ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง
3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
กรณีที่มีรายได้จากแพลตฟอร์มที่หักภาษี ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada, Tiktok Shop เป็นต้น แล้วต้องยื่นภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไปทุกเดือน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่าย สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากบทความเรื่อง ภาษี หัก ณ ที่จ่าย คืออะไร ใครมีหน้าที่ต้องหัก ?
ขายของออนไลน์ แล้วไม่ยื่นภาษี มีโทษไหม ?
- หากไม่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 ภายในระยะเวลาที่กำหนด มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
- หากไม่เสียภาษีภายในระยะเวลาที่กำหนด ต้องจ่ายเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน (เศษของเดือนให้นับเป็น 1 เดือน) ของภาษีที่ต้องเสีย นับตั้งแต่วันที่เลยระยะเวลาที่กำหนด
- หากไม่ยื่นภาษี หรือยื่นแล้ว แต่ชำระไม่ครบ ต้องจ่ายเงินเพิ่ม พร้อมเบี้ยปรับ 1 เท่า หรือ 2 เท่า แล้วแต่กรณี
- หากเไม่ยื่นภาษี มีโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
เคล็ดลับในจัดการภาษีสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์
1. แยกบัญชีของร้าน ออกจากบัญชีส่วนตัว
เปิดบัญชีธนาคารใหม่ สำหรับรับเงินที่ได้จากการขายของออนไลน์โดยเฉพาะ ช่วยให้จัดการรายรับ-รายจ่ายได้ง่ายขึ้น และทำให้ร้านค้ามีระบบการจัดการที่มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
2. บันทึกรายรับ-รายจ่ายทุกวัน
บันทึกยอดขาย ค่าขนส่ง ค่าวัตถุดิบ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ซึ่งช่วยทำให้รู้ว่ารายได้ที่แท้จริงเป็นเท่าไหร่ และมีต้นทุนอะไรบ้าง ทั้งยังช่วยลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในเวลาที่ยื่นภาษีอีกด้วย
3. ตรวจสอบรายได้จากแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นประจำ
หากมีร้านอยู่ในแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada, TikTok Shop หรือ Facebook แพลตฟอร์มเหล่านี้ มักจะมีรายงานยอดขาย, ค่าธรรมเนียม และค่าธุรกรรมต่าง ๆ การตรวจสอบรายงานเหล่านี้เป็นประจำ จะทำให้รู้ว่ายอดขายตรงกับที่บันทึกไว้หรือไม่ ทั้งยังใช้เป็นหลักฐานประกอบการยื่นภาษีด้วย
4. ศึกษาสิทธิลดหย่อนภาษี
ในการยื่นภาษี สามารถใช้สิทธิลดหย่อนที่กฎหมายกำหนดให้ เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว, ประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ หรือกองทุน RMF/SSF การวางแผนใช้สิทธิลดหย่อนอย่างเหมาะสม จะช่วยให้เสียภาษีน้อยลงได้จริง
5. ใช้บริการสำนักงานบัญชี เมื่อมีรายได้เยอะ หรือมีค่าใช้จ่ายซับซ้อน
เมื่อร้านเริ่มมีรายได้มากขึ้น หรือเริ่มมีค่าใช้จ่ายที่หลากหลาย เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าโฆษณา หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ การให้สำนักงานบัญชีช่วยดูและเรื่องบัญชี และภาษี จะช่วยประหยัดเวลา ทำให้มีเวลาในการจัดการธุรกิจได้มากขึ้น
สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือเจ้าของกิจการที่กำลังมองหาผู้ช่วยในการจัดการเรื่องบัญชี และภาษี สามารถติดต่อเข้ามาที่ชอบการบัญชี ได้เลยนะคะ เรายินดีให้บริการ และให้คำแนะนำในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับบัญชี และภาษีค่ะ