ภาษีศุลกากร คืออะไร ? ผู้นำเข้า-ส่งออกสินค้า ต้องรู้ !

ภาษีศุลกากร คืออะไร ?

สำหรับผู้ที่ประกอบธุรกิจนำเข้า–ส่งออกสินค้า ที่เพิ่งเริ่มต้นเปิดกิจการได้ไม่นาน อาจกำลังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับภาษีศุลกากร ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศโดยตรง และมักเป็นปัญหาที่พบเจอได้ตั้งแต่วันแรกที่นำเข้าสินค้า หลายคนอาจยังไม่แน่ใจว่าภาษีศุลกากรคืออะไร ต้องเสียเมื่อไหร่ หรือมีวิธีคำนวณอย่างไรบ้าง

ในบทความนี้ ชอบการบัญชีจะพาคุณไปทำความเข้าใจเรื่องภาษีศุลกากรแบบง่าย ๆ เพื่อให้คุณวางแผนธุรกิจได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้นค่ะ

ภาษีศุลกากร คืออะไร ?

ภาษีศุลกากร (Custom Duty) คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากการนำเข้าและส่งออกสินค้าข้ามระหว่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการนำเข้าและส่งออกสินค้า การควบคุมระบบเศรษฐกิจ และเป็นการสร้างรายได้ให้กับประเทศ

การเข้าใจเรื่องภาษีศุลกากร นอกจากจะเป็นการเข้าใจเรื่องภาษีที่ต้องจ่ายตามกฎหมายแล้ว ยังช่วยให้ผู้ประกอบการวางแผนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วยค่ะ

ภาษีศุลกากร มีกี่ประเภท ?

1. ภาษีนำเข้า

ภาษีนำเข้า หรือ อากรขาเข้า (Import Duty) คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้ามาในประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันผลประโยชน์ของอุตสากรรมในประเทศจากการแข่งขันกับสินค้านำเข้า และควบคุมประมาณการนำเข้าสินค้าบางประเภท โดยที่อัตราภาษีนำเข้าจะแตกต่างกันไปตามประเภทของสินค้า และตามนโยบายของรัฐบาล

2. ภาษีส่งออก

ภาษีส่งออก หรือ อากรขาออก (Export Duty) คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้าที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ มักจะใช้กับสินค้าที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติ หรือสินค้าที่รัฐบาลต่อการควบคุมการส่งออก เช่น สินค้าที่มีมูลค่าสูง หรือสินค้าที่เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ เป็นต้น

สินค้ารูปแบบใดบ้าง ที่ต้องเสียภาษีศุลกากร

กรณีนำเข้าสินค้า

สินค้าทั่วไปที่ต้องเสียภาษีศุลกากร ได้แก่

1. สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป เช่น ร้องเท้า, เสื้อผ้า, เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือโทรศัพท์ ฯลฯ
2. สินค้าฟุ่มเฟือย เช่น น้ำหอม, เครื่องสำอาง, นาฬิกา หรือเครื่องประดับ ฯลฯ
3. สินค้าใหม่หรือยังไม่ได้ใช้งาน
4. สินค้าที่มีมูลค่าเกิน 20,000 บาท (รวมค่าขนส่งและค่าประกันภัย)
5. สินค้าที่มีจำนวนมากผิดปกติ
6. สินค้าควบคุม เช่น อาหารเสริม, เครื่องสำอาง หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ
7. สินค้าที่ส่งผ่านบริการขนส่งระหว่างประเทศ หากส่งสินค้าผ่านบริษัทขนส่งระหว่างประเทศ เช่น DHL, FedEx หรือ EMS ฯลฯ และมีมูลค่าเกิน 1,500 บาท
8. สินค้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พลาสติกบางประเภท, แบตเตอรี่ หรือสารเคมี ฯลฯ
9. สินค้าบางประเภทตามที่กรมศุลกากรกำหนด

กรณีส่งออกสินค้า

กรมศุลกากร ได้กำหนดให้มีสินค้า 9 ประเภทที่ต้องเสียภาษีส่งออก ได้แก่

  1. ข้าว
  2. โลหะ
  3. หนังโค และหนังกระบือ
  4. ไม้ (ไม้แปรรูปทุกชนิด)
  5. เส้นไหมดิบที่ไม่ได้ตีเกลียว
  6. เส้นด้ายที่ทำด้วยไหม
  7. ปลาป่น หรือปลาอบแห้งที่ยังไม่ได้ป่น
  8. ของที่ส่งออกจากพื้นที่พัฒนาร่วมตามกฎหมาย
  9. ของที่ยังไม่ได้ระบุหรือรวมไว้ในประเภทอื่นใดในพิกัดอัตราอากรขาออก

ในปัจจุบัน ได้รับการยกเว้นทั้งหมด เหลือเพียงหนังโคหรือหนังกระบือ และสินค้าส่งออกจากพื้นที่พัฒนาร่วมตามกฎหมายองค์กรร่วมไทย-มาเลเซียเท่านั้น ที่ยังคงต้องเสียอากรขาออก

อัตราภาษีนำเข้า

สำหรับอัตราภาษีของสินค้านำเข้าที่พบเห็นได้ทั่วไป มีอยู่ดังนี้

  • อัตราภาษีนำเข้า เมล็ดกาแฟ ในโควตา 60% นอกโควตา 90% (ต้องมีหนังสือรับรองโควตาจากกระทรวงพาณิชย์)
  • อัตราภาษีนำเข้า รถยนต์ 80% และต้องเสียภาษีสรรพสามิตด้วย
  • อัตรานำเข้า อะไหล่รถยนต์ 30%
  • อัตราภาษีนำเข้า เครื่องจักร 0%-10%
  • อัตราภาษีนำเข้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขึ้นอยู่กับชนิดสินค้า เช่น โทรทัศน์ อัตรา 20% TV Box อัตรา 20% หรือคอมพิวเตอร์ อัตรา 0% เป็นต้น
  • อัตราภาษีนำเข้า กระเป๋า 20%
  • อัตราภาษีนำเข้า เครื่องสำอางค์ 30%
  • อัตราภาษีนำเข้า อาหารเสริม 5%-30%
  • อัตราภาษีนำเข้า เครื่องมือแพทย์ 0%-10%
  • อัตราภาษีนำเข้า ต้นไม้ 0%
  • อัตราภาษีนำเข้า อุปกรณ์การเกษตร หากเป็นของทั่วไปใช้งานด้วยมือ เช่น พลั่ว หรือจอบ 10%
  • อัตราภาษีนำเข้า เสื้อผ้า 30%

การคำนวณภาษีนำเข้า

การคำนวณภาษีศุลกากรขาเข้า เริ่มต้นด้วยการคำนวณหามูลค่าของสินค้า (CIF : Cost, Insurance, Freight) แล้วนำมาคูณกับอัตราภาษีขาเข้า

ตัวอย่าง
ซื้อโทรทัศน์ในราคา 10,000 บาท มีค่าขนส่ง 1,000 บาท ค่าประกันภัย 500 บาท
คำนวณหามูลค่า CIF คือ 10,000 บาท + 1,000 บาท + 500 = 11,500 บาท จากนั้นให้คำนวณภาษึนำเข้า คือ 11,500 x 20% = 2,300 บาท

อัตราภาษีส่งออก

การส่งออกสินค้าจากประเทศไทย ได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากรขาออก จากนโยบายส่งเสริมการส่งออก และเพิ่มรายได้จากต่างประเทศ ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า อย่างไรก็ตาม ยังมีภาษีและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่ต้องชำระให้เรียบร้อย เช่น

  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากผู้ส่งออกได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ต้องออกใบกำกับภาษี ในอัตรา 0% เพื่อยืนยันว่าได้ส่งออกสินค้าจริง ๆ และสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายไปในขั้นตอนการผลิตได้
  • ค่าธรรมเนียมศุลกากร ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของกรมศุลกากร เช่น ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต หรือค่าตรวจสอบสินค้า
  • ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เช่น ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย

การชำระภาษีศุลกากร

1. ชำระด้วยตัวเอง ที่สำนักงานศุลกากรในพื้นที่ ด้วยการใช้

  • เงินสด หรือบัตรภาษี
  • บัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต
  • เช็ค (Cheque) ของผู้ประกอบการ

2. ชำระในระบบ e-Payment คือ ชำระเงินค่าภาษีอากร พร้อมส่งข้อมูลใบขนสินค้า เพื่อตัดบัญชีธนาคารของผู้นำเข้า หรือผู้ส่งออก หรือตัวแทนของผู้ออกของ ตามที่ได้แจ้งชื่อเอาไว้ เพื่อการขอชำระภาษีอากร หรือขอคืนเงินอากรไว้ในทะเบียนผู้ผ่านพิธีการศุลกากร
3. ชำระในระบบ e-Billing Payment คือ การใช้เอกสารตามที่กรมศุลกากรกำหนด โดยมี QR Code หรือ Bar Code หรือเลขอ้างอิงที่ปรากฎในเอกสารนั้น ๆ ไปชำระอากรที่เคาน์เตอร์เซอร์วิซ หรือ Internet Banking หรือ ATM ของธนาคารที่ได้ทำข้อตกลงกับกรมศุลกากร

หากไม่เสียภาษีศุลกากร จะมีผลอย่างไร ?

การไม่เสียภาษีศุลกากร หรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษี ถือเป็นความผิดที่มีโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 ซึ่งในทางปฏิบัติ หากผู้นำเข้าสินค้าหรือผู้ประกอบการฝ่าฝืนหรือไม่ดำเนินการตามพิธีการศุลกากรที่ถูกต้อง อาจพบกับผลกระทบดังนี้

1. ถูกปรับหลายเท่าของมูลค่าสินค้า และภาษี
หากมีการลักลอบหนีภาษี หรือหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากร เช่น แสดงเอกสารเท็จ หรือไม่แสดงรายการนำเข้าอย่างถูกต้อง โทษสูงสุด คือ ริบของกลางทั้งหมด และปรับไม่เกิน 4 เท่าของมูลค่าสินค้ารวมภาษีอากร หรือ จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. การถูกยึดสินค้า
สินค้าที่ไม่ผ่านพิธีการศุลกากร หรือยังไม่ได้เสียภาษี จะถูกริบโดยทันที และถือเป็นของแผ่นดินตามกฎหมาย

3. ความผิดฐานสําแดงเท็จ
หากมีการปลอมแปลงใบขน ใบกำกับ หรือเอกสารอื่นๆ เช่น ตัดตอนข้อความ แก้ไขเอกสาร หรือแจ้งข้อมูลผิด เช่น น้ำหนัก ปริมาณ หรือรหัสสินค้า มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ

4. การกระทำผิดซ้ำซ้อน
หากมีความผิดหลายกรรม จะได้รับโทษตามบทหนักที่สุด เช่น ปรับ 4 เท่า หรือริบสินค้า บางกรณีถือเป็นความผิดทางอาญา เช่น การลักลอบนำเข้าของต้องห้าม (เช่น อาวุธ ยาเสพติด หรือวัตถุลามก)

ภาษีศุลกากรเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญ ต่อการดำเนินธุรกิจนำเข้าและส่งออกสินค้า การเข้าใจและปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับภาษีศุลกากรไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่นเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วยค่ะ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Facebook : สำนักงานบัญชีคุณภาพ ชอบการบัญชี
LINE : @chobaccounting
เบอร์โทร : 094-159-4561
อีเมล์ : chobcorp.acc@chobaccountingonline.co.th

Facebook
LinkedIn
X

ผู้เขียน

พัทธนันท์ วัชรโชติธาดาพงศ์

น้ำ - พัทธนันท์ วัชรโชติธาดาพงษ์

ผู้บริหาร และนักบัญชี ที่เชี่ยวชาญด้านการทำบัญชี การวางระบบบัญชี การยื่นภาษี และการวิเคราะห์งบการเงิน เชื่อมั่นว่าทุกธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงด้วยการจัดการบัญชีและภาษีที่ถูกต้อง

Scroll to Top