ท่ามกลางกระแสการทำงานกับต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น การทำความเข้าใจเรื่องภาษีเงินได้จากต่างประเทศ กลายเป็นเรื่องสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับคนไทย ไม่ว่าจะเป็นฟรีแลนซ์ที่รับงานจากต่างประเทศ พนักงานของบริษัทต่างชาติ หรือผู้ที่มีรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ
บทความนี้ ชอบการบัญชี จะพาไปทำความรู้จักกับหลักการจัดเก็บภาษีเงินได้จากต่างประเทศ วิธีการคำนวณ ข้อยกเว้น และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ควรรู้ เพื่อให้สามารถวางแผนภาษีได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาจากการเสียภาษีซ้ำซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ในยุคที่เทคโนโลยีเชื่อมโยงโลกเข้าด้วยกัน โอกาสในการสร้างรายได้จากต่างประเทศก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ การเข้าใจกฎเกณฑ์ และสิทธิประโยชน์ทางภาษี จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้สามารถบริหารจัดการรายได้ได้อย่างชาญฉลาด และได้รับประโยชน์อีกมากมายจากรายได้ที่จะได้รับในอนาคต
ภาษีเงินได้ต่างประเทศ คืออะไร ?
ภาษีเงินได้จากต่างประเทศ คือ ภาษีที่จัดเก็บจากรายได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย ที่ได้รับจากแหล่งเงินได้ที่มาจากต่างประเทศ เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าลิขสิทธิ์ กำไรจากการลงทุน หรือรายได้อื่น ๆ
ความแตกต่างระหว่าง ภาษีเงินได้ในประเทศ และต่างประเทศ
1. แหล่งที่มาของรายได้ ภาษีเงินได้ในประเทศจัดเก็บจากรายได้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ขณะที่ภาษีเงินได้จากต่างประเทศเกี่ยวข้องกับรายได้ที่เกิดขึ้นนอกประเทศไทย
2. การจัดเก็บ และการรายงาน รายได้ในประเทศมักถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายโดยอัตโนมัติ แต่รายได้จากต่างประเทศผู้มีรายได้ต้องดำเนินการยื่นภาษีเอง และมีข้อกำหนดในการรายงานที่ซับซ้อนกว่า
3. อัตราภาษี และข้อยกเว้น แต่ละประเทศมีอัตราภาษีและเงื่อนไขข้อยกเว้นที่แตกต่างกัน
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้จากต่างประเทศ
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้จากต่างประเทศ มีอยู่ดังนี้
- ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย และมีรายได้จากต่างประเทศ
- ฟรีแลนซ์ที่รับงานจากลูกค้าต่างประเทศ
- พนักงานบริษัทต่างชาติที่ได้รับเงินเดือนจากต่างประเทศ
- นักลงทุนที่มีรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ
- ผู้ที่มีทรัพย์สินหรือธุรกิจในต่างประเทศ ฯลฯ
หลักเกณฑ์ และเงื่อนไข ในการเสียภาษีเงินได้จากต่างประเทศ
ก่อนที่จะทราบหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการเสียภาษีเงินได้จากต่างประเทศ ก็ะจะต้องรู้ก่อนว่ารายได้ประเภทใดบ้าง ที่ต้องเสียภาษีในประเทศ ซึ่งมีอยู่ดังนี้
- เงินเดือน และค่าจ้าง
- รายได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ
- ดอกเบี้ย และเงินปันผล
กำไรจากการขายหุ้น หรือหลักทรัพย์ - ค่าลิขสิทธิ์ และค่าสิทธิบัตร
- รายได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน
การนำรายได้จากต่างประเทศ เข้ามาในประเทศไทย และผลกระทบทางภาษี
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป กรมสรรพากรได้ออกกฎใหม่เกี่ยวกับการนำเงินจากต่างประเทศเข้ามาในไทย หากเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่อาศัยในประเทศไทย และมีรายได้จากต่างประเทศ ไม่ว่าจะนำเงินเข้ามาในปีที่ได้รับ หรือปีถัดไปก็ตาม จะต้องนำเงินนั้น มาคำนวณภาษีในปีที่นำเงินเข้ามา
ถ้าจะพูดง่ายๆ ให้เข้าใจก็คือ เมื่อนำเงินเข้ามาในประเทศ ให้ทำการนำรายได้มาคิดนวณ ในปีที่นำรายได้เข้ามานั่นเอง จากเดิมที่เคยให้เสียภาษีเฉพาะเงินที่นำเข้ามาในปีที่ได้รับเท่านั้น ซึ่งมีผลกับคนที่มีรายได้จากต่างประเทศทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน รายได้จากการทำงานอิสระ กำไรจากการลงทุน หรือรายได้อื่นๆ
เมื่อนำเงินเข้ามา สิ่งสำคัญคือต้องเก็บหลักฐานให้ครบ ทั้งวันที่โอนเงินเข้ามา เอกสารการโอนเงิน และที่มาของรายได้ นอกจากนี้ ต้องแปลงเป็นเงินบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่นำเงินเข้ามาด้วย แต่ก็มีข้อยกเว้นบางกรณีที่ไม่ต้องเสียภาษี เช่น เงินได้ที่ได้รับการยกเว้น หรือเงินที่ได้เสียภาษีในต่างประเทศไปแล้ว ในอัตราที่สูงกว่าไทย
ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าต้องจัดการอย่างไร แนะนำให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่สรรพากร หรือผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจัดการรายได้จากต่างประเทศได้ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ต้องจ่ายภาษีเกินความจำเป็น
อัตราภาษี
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทยเป็นแบบก้าวหน้า ตั้งแต่ 5% ถึง 35% โดยคำนวณจากฐานรายได้สุทธิที่ได้รับจากทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยก็คือต้องนำเงินได้จากต่างประเทศ และในประเทศมารวมกัo แล้วจึงค่อยนำมาคำนวณภาษี
สำหรับการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรมสรรพากรกำหนดให้ผู้มีเงินได้พึงประเมินทุกประเภทตลอดปีภาษี (ไม่รวมเงินได้ที่กฎหมายยกเว้นภาษีหรือที่ไม่ต้องเสียภาษี) นำมารวมกัน แล้วหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อหาเงินได้สุทธิ จากนั้นนำเงินได้สุทธิมาคำนวณภาษี ตามอัตราภาษีที่กล่าวข้างต้น
สนธิสัญญาภาษีซ้อน (DTA) มีผลอย่างไร ?
ก่อนอื่นต้องรู้จักกับ อนุสัญญาภาษีซ้อน หรือที่เรียกว่า Double Taxation Agreement (DTA) กันก่อนว่า อนุสัญญาภาษีซ้อน (DTA) คืออะไร ซึ่งก็คือข้อตกลงระหว่างสองประเทศที่มีวัตถุประสงค์เพื่อขจัด หรือบรรเทาปัญหาการเก็บภาษีซ้ำซ้อน โดยกำหนดสิทธิในการจัดเก็บภาษีระหว่างประเทศคู่สัญญา ส่งเสริมการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ และป้องกันการเลี่ยงภาษี
ประเทศไทยได้จัดทำอนุสัญญาภาษีซ้อนกับหลายประเทศ โดยมีผลบังคับใช้กับภาษีเงินได้ ซึ่งรวมถึงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา , ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม อนุสัญญาเหล่านี้ช่วยลดภาระภาษีสำหรับผู้เสียภาษีที่มีรายได้จากต่างประเทศ และส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
วิธีการใช้สิทธิประโยชน์จาก DTA เพื่อลดภาระภาษี
- ตรวจสอบว่าประเทศที่มีรายได้มีสนธิสัญญากับประเทศไทยหรือไม่
- ศึกษาข้อกำหนดเฉพาะสำหรับประเภทรายได้ของคุณ
- จัดเตรียมเอกสารที่จำเป็น เช่น หนังสือรับรองการมีถิ่นที่อยู่
- ยื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ตามแบบฟอร์มที่กำหนด
ขั้นตอนการขอคืนภาษีจากต่างประเทศ
- รวบรวมหลักฐานการเสียภาษีในต่างประเทศ
- กรอกแบบฟอร์มขอคืนภาษีตามที่แต่ละประเทศกำหนด
- แนบเอกสารประกอบ เช่น หนังสือรับรองถิ่นที่อยู่ทางภาษี
- ติดตามสถานะการขอคืนภาษี
การวางแผนภาษีเงินได้จากต่างประเทศให้คุ้มค่า
ในส่วนของการวางแผนภาษีอย่างคุ้มค่า จำเป็นที่จะต้องศึกษาวิธีการลดหย่อนอย่างถูกต้อง รวมทั้งคำแนะนำสำหรับการลงทุน และผู้ที่มีรายได้หลายประเทศ
วิธีลดหย่อนภาษีอย่างถูกต้อง
- ใช้สิทธิประโยชน์จากสนธิสัญญาภาษีซ้อนให้เต็มที่
- วางแผนการนำเงินเข้าประเทศอย่างเหมาะสม
- จัดเก็บเอกสารและหลักฐานการเสียภาษีไว้ให้ครบถ้วน
- พิจารณาการลงทุนในกองทุนที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
คำแนะนำสำหรับนักลงทุนและผู้ที่มีรายได้หลายประเทศ
- ศึกษากฎหมายภาษีของแต่ละประเทศที่มีรายได้
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีระหว่างประเทศ
- วางแผนการจัดการรายได้ และการลงทุนล่วงหน้า
- ติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายภาษีอย่างสม่ำเสมอ
การวางแผนภาษีเงินได้จากต่างประเทศให้คุ้มค่า
กรณีที่ 1 : ฟรีแลนซ์รับงานจากบริษัทในสิงคโปร์
- รายได้ 1,000,000 บาทต่อปี
- เสียภาษีในสิงคโปร์ 17%
- สามารถนำภาษีที่เสียในสิงคโปร์มาเป็นเครดิตในไทยได้
กรณีที่ 2 : พนักงานบริษัทญี่ปุ่นที่ทำงานในไทย
- เงินเดือนจากญี่ปุ่น 2,000,000 บาทต่อปี
- ต้องเสียภาษีทั้งในญี่ปุ่นและไทย
- ใช้สิทธิประโยชน์จาก DTA เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีซ้อน
การจัดการภาษีเงินได้ต่างประเทศเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ และต้องทำความเข้าใจอย่างละเอียด เนื่องจากมีความซับซ้อนทั้งในแง่ของกฎหมายภาษีไทย กฎหมายภาษีของแต่ละประเทศที่มีรายได้ และสนธิสัญญาภาษีซ้อน การวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่าย และหลีกเลี่ยงปัญหาทางภาษีในอนาคต สิ่งสำคัญคือต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย และข้อกำหนดต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การจัดการภาษีเป็นไปอย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ
สำหรับผู้ที่มีรายได้จากต่างประเทศ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี หรือเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรโดยตรง ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะจะช่วยให้คุณเข้าใจสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่พึงได้รับ และสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางภาษีได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ การเก็บรวบรวมเอกสาร และหลักฐานทางการเงินอย่างเป็นระบบจะช่วยให้การยื่นแบบแสดงรายการ และการขอคืนภาษีเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง