หลังจากที่จดทะเบียนนิติบุคคลแล้ว สิ่งหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ก็คือภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งเป็นหนึ่งในภาษีที่นิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทยต้องจ่าย โดยมีหลักการที่เหมือนกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเลยค่ะ
สำหรับบทความนี้ ชอบการบัญชี จะพาไปศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคล ใครบ้างที่ต้องจ่าย รวมถึงรายละเอียดอื่นๆ ที่จะทำให้ธุรกิจของคุณจัดการภาษีได้ถูกต้องอย่างแท้จริงค่ะ
ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ ?
ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax) คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากรายได้ หรือกำไรสุทธิของนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการในประเทศไทย ภาษีประเภทนี้ ถูกกำหนดเอาไว้ในมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร บังคับใช้กับนิติบุคคลทุกประเภท ไม่ว่าเป็น บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือองค์กรที่มีรายได้
รู้ก่อนจด ! ภาษีสำหรับนิติบุคคล มีอะไรบ้าง ?
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ บริษัท หรือห้างหุ้นส่วน ที่จดทะเบียนนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ ซึ่งรวมถึงนิติบุคคลอื่นๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์นี้ด้วย
สำหรับบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล มีอยู่ดังนี้
1. บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนที่ตั้งขั้นตามกฎหมายไทย ได้แก่
ก. บริษัท จำกัด
ข. บริษัท มหาชน จำกัด
ค. ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ง. ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน
2. บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย ก็ต่อเมื่อมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
ก. บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศ ที่ประกอบกิจการในประเทศไทย (มาตรา 66 วรรคแรก แห่งประมวลรัษฎากร)
ข. บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศ ที่ประกอบกิจการในที่อื่นๆ รวมทั้งในประเทศไทย (มาตรา 66 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร)
ค. บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศ ที่ประกอบกิจการในที่อื่นๆ รวมทั้งในประเทศไทย และกิจการที่ทำนั้น เป็นกิจการข่นส่งระหว่างประเทศ (มาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร)
ง. บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น ไม่ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ได้รับเงินที่ถือว่าเป็นรายได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) (2) (3) (4) (5) (6) หรือ (7) ที่จ่ายในประเทศไทย (มาตรา 70)
จ. บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทษ ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลนิติบุคคลในประเทศไทย ตามมาตรา 76 วรรคสอง และมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ได้จำหน่ายเงินกำไร หรือเงินประเภทอื่น ที่กันไว้จากกำไร หรือถือได้ว่าเป็นเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย (มาตรา 70 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร)
ฉ. บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น มิได้เข้ามาทำกิจการในประเทศไทยโดยตรง แต่มีลูกจ้าง หรือมีผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อ ในการทำกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้ หรือผลกำไรในประเทศไทย (มาตรา 76 ทวิ)
3. กิจการซึ่งดำเนินการเป็นทางค้า หรือหากำไร โดย
ก. รัฐบาลต่างประเทศ
ข. องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ
ค. นิติบุคคลอื่น ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
4. กิจการร่วมการค้า (Join Venture) ได้แก่ กิจการที่ดำเนินงานร่วมกันทางการค้า หรือหากำไร ระหว่างบุคคล ดังต่อไปนี้
ก. บริษัทกับบริษัท
ข. บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ค. ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ง. บริษัท และหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา
จ. บริษัท และหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล
ฉ. บริษัท และหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนสามัญ
ช. บริษัท และหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับนิติบุคคลอื่น
5. มูลนิธิ หรือสมาคมที่ประกอบกิจการ ซึ่งมีรายได้ ยกเว้นมูลนิธิ หรือสมาคม ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้เป็นองค์การ หรือสถานสาธารณกุศล
6. นิติบุคคลที่อธิบดีกำหนด โดยอนุมัติรัฐมนตรี และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้เป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามประมวลรัษฎากร
นิติบุคคลที่ไม่ต้องเสียภาษี
นิติบุคคลที่ไม่ต้องเสียภาษี หรือได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ โดยประมวลรัษฎากร มีดังต่อไปนี้
1. นิติบุคคล ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย เช่น กระทรวง ทบวง กรม องค์การ ของรัฐบาล หรือสหกรณ์
2. นิติบุคคลบางประเภท ที่อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามประมวลรัษฎากร แต่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย ดังนี้
- บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ตามสัญญา ว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือทางเทคนิค ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ
- บริษัทจำกัด ที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
- บริษัทจำกัด และนิติบุคคลที่มีสภาพเดียวกับบริษัทจำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือกฎหมายต่างประเทศ ที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
- บริษัท หรือห้างห้นส่วนนิติบุคคล ที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาว่าด้วยการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย ตามเงื่อนไขที่กำหนดในอนุสัญญา
ภาษีเงินได้นิติบุคคล เก็บจากอะไร
การเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล จัดเก็บจากการคำนวณเงินได้ที่ใช้เป็นหลักฐานในการคำนวณภาษี คูณด้วยอัตราภาษีที่กำหนด ในส่วนของเงินได้ หรือฐานภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยทั่วไป คือ กำไรสุทธิสุทธิทางภาษี ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่กำหนด แต่เพื่อความเป็นธรรม และอุดช่องว่างในการจัดเก็บภาษีเงินได้ จึงมีการบัญญัติการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล จากเงินได้ หรือฐานภาษีที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. กำไรสุทธิทางภาษี
2. ยอดรายได้ ก่อนหักค่าใช้จ่าย
3. เงินได้ที่จ่ายในประเทศไทย
4. การจำหน่ายเงินกำไร ออกจากประเทศไทย
การคำนวณรายได้สุทธิ โดยปกติจะคำนวณเป็นรอบที่เรียกกันว่ารอบบัญชี ซึ่งแต่ละรอบจะอยู่ที่ประมาณ 1 ปี และไม่จำเป็นต้องเป็นวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม อาจจะเป็นรอบอื่น ๆ ก็ได้ เช่น 30 เมษายน ถึง 1 พฤษภาคม ของปีถัดไป เป็นต้น
กำไรทางบัญชี และกำไรทางภาษี
แม้ว่าภาษีเงินได้นิติบุคคล หลัก ๆ แล้ว จะจัดเก็บจากการนำกำไรสุทธิมาคำนวณ หรือที่เรียกกันว่ากำไรทางบัญชี ที่เกิดจากการบันทึกรายการที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกิจ โดยนักบัญชี
ซึ่งในการคำนวณภาษี จะต้องอ้างอิงวิธีการคำนวณตามหลักกฎหมาย ด้วยการปรับปรุงกำไรทางบัญชี ให้กลายเป็นกำไรทางภาษีก่อน ถึงจะนำมาคำนวณภาษีได้
กําไรทางบัญชี กําไรทางภาษี คืออะไร ต่างกันยังไง ?
อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
กำไรสุทธิทางภาษี | อัตราภาษีเงินได้ |
---|---|
ไม่เกิน 300,000 บาท | ยกเว้นภาษี |
300,001 – 3,000,000 บาท | 15 % |
3,000,001 บาทขึ้นไป | 20 % |
ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้ที่ไหน
การยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล สามารถยื่นได้ 2 ช่องทาง ดังนี้
1. ยื่นแบบกระดาษ ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่
2. ยื่นผ่านระบบออนไลน์ (E-filing)
เอกสารที่ต้องเตรียม สำหรับการยื่นภาษี
1. ภ.ง.ด.50 , ภ.ง.ด.51
2. งบการเงิน (จำเป็นมาก)
3. เอกสารอื่นๆ ตามที่กรมสรรพากรกำหนด
การเข้าใจหลักเกณฑ์ต่างๆ รวมถึงขั้นตอนในการยื่นภาษีอย่างถูกต้อง จะช่วยทำให้กิจการดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งยังเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาด้านภาษีที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วยค่ะ
หากมีข้อสงสัยในเรื่องภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือการจัดการบัญชีธุรกิจของคุณ สามารถติดต่อเข้ามาชอบการบัญชี ได้เลยค่ะ เรายินดีช่วยเหลือ และพร้อมให้คำแนะนำอย่างเต็มที่ค่ะ
อ้างอิง : กรมสรรพากร