ในการทำธุรกิจ ผู้ประกอบการหลายท่านมักสับสนหรือเข้าใจผิดในเรื่องกำไรทางบัญชี และกำไรทางภาษี ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันมากกว่าที่คิด ในบทความนี้ ชอบการบัญชี จะพาไปไขข้อสงสัยในเรื่องกำไรทางบัญชี และกำไรทางภาษี ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร และทำไมผู้ประกอบการถึงต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างละเอียดค่ะ
กำไรทางบัญชี คืออะไร ?
กำไรทางบัญชี (Accounting Profit) หรือ กำไรสุทธิทางบัญชี คือ กำไรสุทธิที่ได้รับจากการประกอบกิจการตามหลักการบัญชีทั่วไป โดยการคำนวณกำไรทางบัญชีนั้น จะนำรายได้ทั้งหมดที่ได้รับ มาหักลบด้วยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งตัวเลขที่ได้จากการคำนวณนี้จะถูกบันทึกลงในงบกำไรขาดทุน และงบการเงินอื่น ๆ ของกิจการ
กำไรทางภาษี คืออะไร ?
กำไรทางภาษี (Tax Profit) หรือ กำไรสุทธิทางภาษี คือ กำไรที่คำนวณได้จากรายได้ที่ต้องเสียภาษี หักลบด้วยค่าใช้จ่ายที่สามารถนำไปใช้หักลดหย่อนทางภาษีได้ตามที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น ซึ่งกำไรทางภาษีจะใช้ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50, ภ.ง.ด.51) ต่อกรมสรรพากร และจะเป็นตัวเลขที่กำหนดจำนวนภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ต้องจ่ายจริงในแต่ละปี
กำไรทางบัญชี และกำไรทางภาษี แตกต่างกันยังไง ?
กำไรทางบัญชีและกำไรทางภาษี มีหลักเกณฑ์ในการรับรู้รายได้ และค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ส่งผลให้กำไรทั้งสองแบบนี้มีตัวเลขที่ไม่เท่ากัน ซึ่งสามารถแบ่งลักษณะความแตกต่างได้ดังนี้
กำไรทางบัญชี
- คำนวณจากรายได้ และค่าใช้จ่ายที่รับรู้ตามมาตรฐานการบัญชี
- อาจรวมค่าใช้จ่ายบางรายการที่กฎหมายภาษีไม่ให้ถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย
- อาจมีรายได้บางรายการที่ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องนำมาคำนวณภาษี
กำไรทางภาษี
- คำนวณจากรายได้ และค่าใช้จ่ายที่กฎหมายภาษีอนุญาตให้นำมาคำนวณ
- อาจมีการปรับปรุงกำไรทางบัญชี โดยการบวกกลับค่าใช้จ่ายต้องห้าม หรือการหักรายได้ที่ไม่ต้องนำมาคำนวณภาษี
- ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายภาษีกำหนด
รายการปรับปรุงกำไรทางภาษี คืออะไร ?
แม้ว่ากำไรทางบัญชี และกำไรทางภาษีจะมีการคำนวณรายได้และค่าใช้จ่ายเหมือนกัน แต่ทั้งสองตัวเลขนี้กลับมีข้อแตกต่างหลายประการ โดยเฉพาะในส่วนของค่าใช้จ่ายที่นำมาหักลดหย่อนทางภาษีได้หรือไม่ได้นั่นเอง เช่น
ค่ารับรอง
ค่ารับรองในทางบัญชีสามารถลงบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายได้เต็มจำนวน แต่ในทางภาษีจำกัดให้ลงได้ไม่เกิน 0.3% ของรายได้หรือยอดขายของกิจการ และต้องไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อปี ทำให้ตัวเลขกำไรทางบัญชีกับกำไรทางภาษีแตกต่างกันในส่วนนี้
ค่าใช้จ่ายหนี้สูญ
ทางบัญชีสามารถบันทึกหนี้สูญได้ทันทีที่มีหลักฐานชัดเจนว่าลูกหนี้ไม่สามารถชำระเงินได้ แต่ทางภาษีจะยอมรับเฉพาะหนี้สูญที่ผ่านเกณฑ์การพิสูจน์จากกรมสรรพากรเท่านั้น ทำให้กิจการต้องจ่ายภาษีจากตัวเลขที่ไม่ตรงกันระหว่างบัญชีกับภาษี
ค่าเสื่อมราคา
ค่าเสื่อมราคาทางบัญชีสามารถคิดได้ตามอายุการใช้งานที่กิจการกำหนดเอง เพื่อสะท้อนสภาพการใช้งานของสินทรัพย์จริง ๆ ทำให้มีความยืดหยุ่นในการบริหารต้นทุนได้มากกว่า แต่ในส่วนของค่าเสื่อมราคาทางภาษี จะมีการกำหนดอัตราค่าเสื่อมราคาตายตัวไว้ตามกฎหมาย เช่น อาคาร เครื่องจักร รถยนต์ หรือคอมพิวเตอร์ ต้องคิดค่าเสื่อมตามอัตราที่สรรพากรกำหนดไว้เท่านั้น จึงจำเป็นต้องนำรายจ่ายในส่วนนี้มาปรับปรุงใหม่เมื่อคำนวณกำไรทางภาษี ให้ตรงตามที่กรมสรรพากรกำหนดไว้ ทำให้ตัวเลขกำไรสุทธิทางบัญชีกับภาษีมีความแตกต่างกัน
การส่งสินค้าตามคำสั่งของสำนักงานใหญ่
ในการส่งสินค้าออกต่างประเทศที่เป็นการโอนย้ายระหว่างสำนักงานใหญ่กับสาขาต่างประเทศ ในทางบัญชีจะถือเป็นรายการขาย และรับรู้รายได้ปกติตามมูลค่าตลาด แต่ในทางภาษี กรมสรรพากรจะมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการพิจารณาว่าจะให้รับรู้รายได้ในส่วนนี้อย่างไร โดยเฉพาะกรณีของสำนักงานใหญ่กับสาขาที่อยู่ในต่างประเทศ อาจมีการใช้หลักการราคาตลาด (Transfer Pricing) ซึ่งแตกต่างไปจากการบันทึกบัญชีทั่วไป ทำให้ต้องปรับปรุงรายได้และค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรทางภาษี
รายได้จากเงินปันผล
เงินปันผลในทางบัญชีจะถือว่าเป็นรายได้ของกิจการ และสามารถบันทึกในงบกำไรขาดทุนทันที แต่ในทางภาษีนั้น เงินปันผลจากบริษัทที่ได้รับการยกเว้นภาษี หรือได้รับการเสียภาษีในอัตราพิเศษ อาจไม่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีซ้ำซ้อน หรือบางกรณีอาจได้รับการยกเว้นภาษีเงินปันผลบางส่วนตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ ทำให้ต้องทำการปรับปรุงรายได้ตรงส่วนนี้ให้ถูกต้องตามกฎหมายภาษี และป้องกันการเสียภาษีเกินจำเป็น
ผลขาดทุนสุทธิ
กรณีผลขาดทุนสุทธิทางบัญชี จะบันทึกยอดขาดทุนได้ทันทีที่เกิดขึ้นในแต่ละปีบัญชี แต่ทางภาษี ผลขาดทุนสุทธิในแต่ละปีสามารถนำไปหักกลบกับกำไรสุทธิในปีถัด ได้ไม่เกิน 5 ปี โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด หากกิจการมีผลขาดทุนในปีใดปีหนึ่ง ต้องวางแผนการนำผลขาดทุนเหล่านั้นไปหักกำไรสุทธิในปีต่อไป ซึ่งแตกต่างกับการบันทึกบัญชีที่ไม่มีข้อจำกัดนี้
โดยสรุปแล้ว แม้ว่ากำไรทางบัญชีและกำไรทางภาษีจะดูคล้ายกัน และมีการคำนวณจากรายได้และค่าใช้จ่ายเหมือนกัน แต่ในทางปฏิบัติกลับมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของค่าใช้จ่ายหักลดหย่อน รายได้บางประเภท และการปรับปรุงรายการต่าง ๆ เพื่อให้ถูกต้องตามหลักภาษี
ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องเข้าใจความแตกต่างนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการด้านบัญชีและภาษี ลดความเสี่ยงที่จะถูกกรมสรรพากรตรวจสอบ และสามารถบริหารภาระภาษีได้อย่างคุ้มค่าที่สุดค่ะ
หากยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำบัญชีและการจัดการภาษี หรือต้องการให้ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราช่วยดูแลบัญชีและภาษีให้กับธุรกิจของคุณอย่างถูกต้องและแม่นยำ
บริการของเรา
- รับปิดงบการเงิน
- รับทำบัญชี และยื่นภาษี
- จดทะเบียนนิติบุคคล
- แก้ไขข้อมูลนิติบุคคล
- ให้คำปรึกษาด้านบัญชีและภาษีโดยนักบัญชีมืออาชีพ